Monday, October 31, 2005

เมื่อชีวิตต้องปั่นด้วยลำแข้ง



ตุ่นขี่จักรยานเองไปโรงเรียนเริ่มคล่องแล้ว หลังจากที่มีอาการงอแงง๋องแง๋งมาเป็นเดือน เพราะตัวเธอเล็ก ขาหยั่งพื้นไม่ค่อยถึง พอต้องหยุดตามสี่แยก แล้วต้องปั่นต่อ เธอจะปั่นไม่ได้ คือ ก่อนหน้านี้ เธอจะลากจักรยานไปเทียบริมฟุตบาธ เพื่อให้เป็นฐานรองในการส่งตัวถีบ

ตุ่นเป็นเด็กหัวแข็ง เวลาสอนให้ทำอะไร มักจะไม่ค่อยฟัง ไม่พยายามเข้าใจว่า วิธีการที่พ่อแม่บอกนั้นมันไม่ยากอะไร เหมือนตอนที่พ่อพยายามฝึกให้ปั่นจักรยานโดยถอดล้อเสริมด้านข้างออก เมื่อเธอยังไม่รู้จักการทรงตัว เธอจะร้องโวยวายลั่นถนนว่า “อิก คัน ฮึท นิท” (ถีบไม่ได้ๆ) “อิก คา ฟอลเล่นๆๆ” (มันจะล้มๆ)

...ปัญหาใหญ่ มันไม่ใช่อยู่ที่เธอตัวเล็ก ขาสั้น แต่เธอเป็นเด็กปอดแหก ปากลำโพงแตกแบบนี้เอง เวลาที่ตัวเองไม่มั่นใจที่จะทำอะไร พ่อแม่ก็อย่าได้ไปบังคับขู่หลอกโป้คำหวานคำชมให้กำลังใจ “ลูกทำได้ๆ” เพราะเธอจะมีอาการสนองตอบมาแบบเดียว คือ ฮึดฮัดทำเสียงเหมือนม้าสะบัดหัว...ฟืดๆ และบ่นรำพึงรำพันสาธยายปางจะตายจนน้ำลายแทบกระฉูดเป็นเลือดฝอยออกมาทางปากที่อ้ารำพึงไม่หยุดนั้น แล้วเธอก็ยอมเดินจูงลากจักรยานสะอึกสะอื้นกลับบ้านมาทุกที ... ที่ทำทีว่า ฉันจะไปหัดขี่จักรยานให้เป็นเสียที- ก็เลิกล้ม

แต่นั่นมันเรื่องเก่าแล้ว หลังจากที่ไปแอบสืบรู้มาว่า ทุกฤดูร้อนเด็กๆ ในห้องลิง (ของเธอ) จะพากันขี่จักรยานไปโรงเรียน เพราะในห้องเรียนมีเด็กอายุโตกว่าเรียนรวมกัน พวกเด็กรุ่นแก่กว่าจึงรุดหน้าทำอะไรเป็นก่อนให้น้องๆ ดูเป็นตัวอย่าง วันหนึ่งครูถามในวงสนทนายามเช้าก่อนเริ่มต้นกิจกรรมการเรียนว่า “ไหนฤดูร้อนปีนี้ ใครขี่จักรยาน 2 ล้อได้แล้วบ้าง” มีเพื่อนร่วมชั้นพากันยกมือ 1-2-3-4-5 ตั้ง 5 คนเชียว

เจ้าตุ่นเลยมีอาการฮึดแต่ไม่ฮัด กลับมารบเร้าให้พ่อพาไปหัดจักรยานใหม่ ฉันมองดูลูกแล้วเลยได้คำตอบในใจ “ใครสร้างแรงกดดันให้เธอไม่ได้ เธอต้องริอยากของเธอเอง อยากไปโชว์เพื่อนมั่งว่า ฉันก็ขี่จักรยาน 2 ล้อได้เหมือนกันแล้ว”



แรงฮึดจากคำถามของครูมีแรงจูงใจที่ทรงพลังมาก 2 วันหลังจากวงสนทนาในชั้นเรียน เจ้าตุ่นสลัดล้อข้างจักรยาน ขี่สองล้อปลิวลมไปแล้ว พอเริ่มขี่สนุกสนาน เธอก็หลงใหลความสามารถใหม่ของตัวเองจนแทบจะลืมความอยากกินขนม ไม่อยากเล่น ไม่อยากดูทีวี เธอจะปั่นจักรยานวนอยู๋ในสวนหลังบ้านตลอดเวลา (ที่ฝนไม่ตก) และรบเร้าที่จะขี่จักรยานไปโรงเรียนเองให้ได้

ฉันจำไม่ได้หรอกว่า ตัวเองตอนเด็กเรียนรู้สิ่งใหม่ๆยากแค่ไหน งี่เง่าดื้อด้านหัวแข็งมากหรือน้อยกว่าตุ่น การเลี้ยงลูกมันทำให้ตัวเองย้อนคิดไปเรื่อยว่า มนุษย์เรานี่มันต้องเรียนรู้อะไรมากมายจริงๆ กว่าจะโตเป็นผู้เป็นคนมีความสามารถหลากด้านมาช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดรอบด้าน

บางวันฉันนึกอยากให้ตุ่นเรียนรู้ที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง มีพัฒนาการคืบไปข้างหน้าทุกๆวัน ค่อยๆ ก้าวไปยืนบนลำแข้งของตัวเอง ไม่ต้องมายืนรอร้องแงๆ ให้แม่มาพยุงจับส่งให้ทรงตัวปั่นจักรยาน ไม่ต้องมายื่นขาข้างที่รองเท้าเชือกหลุดมาให้แม่ผูก ไม่ต้องคอยตามเก็บเสื้อกันหนาวไปแขวนที่ตะขอ ...

แต่มาวันนี้ที่เห็นตุ่นขี่จักรยานปล่อยมือข้างเดียว หลังจากขี่จักรยานสองล้อมาร่วม 3 เดือน ดูเหมือนตุ่นจะปั่นจักรยานได้แข็งไวเร็วพร้อมกับพัฒนาการในการยืนบนลำแข้งของตัวเองมากขึ้นทุกๆวัน

บางวันฉันเลยก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้ตุ่นอย่างเต็มใจ ด้วยความรู้สึกเสียดายขึ้นมาวูบๆ เพราะกลัวลูกจะโตผละจากอ้อมกอดเราเร็วเกินไป...

Sunday, October 30, 2005

เศรษฐศาสตร์แห่งเวลา



ชีวิตในโลกตะวันตก มีช่วงหมุนลดและเพิ่มเวลาปีละ 2 ครั้ง ใบไม้ร่วง ฤดูหนาวใกล้จะมา นาฬิกาบอกเวลาถูกหมุนถอยหลังไป 1 ชั่วโมง ใบไม้ผลิ ฤดูร้อนจะมาเริงร่า นาฬิกาบอกเวลาถูกยืดเข็มออกไปอีก 1 ชั่วโมงเช่นกัน จะอะไรกันนักกับวันเวลา ไม่ว่าจะยืดหรือจะหด โลกก็ยังคงหมุนของมันไป-เช่นเดิม

ชีวิตของคนยุคปัจจุบันผูกติดกับโมงยามของสิ่งประดิษฐ์ เราไม่มีเวลาดูเวลาจากตะวันเหมือนสมัยก่อน เราตื่นกับนาฬิกาปลุก เราเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นไปส่งลูกเรียนหนังสือ ไปทำงานทำการ ก่อนนอนจึงไม่อาจแกล้งลืมตั้งนาฬิกาให้ปลุกตรงตามนัด เพราะเดี๋ยวเด้งออกจากเตียงไม่ทัน จะเสียสูญ(เวลา)อะไรที่มันถ่วงชีวิต

หนาวแล้ว นอนคุดในผ้าห่มก็อุ่นสบายดี ...ดีจนไม่อยากลุก เพราะถึงเช้าแล้ว ฟ้าก็ยังมืดตื๊ด พื้นบ้านก็เย็นสะดุ้ง ฝารองโถส้วมก็เย็นเฉียบ...ใครจะอยากไปนั่ง แต่ชีวิตต้องรีบตื่นเพราะนาฬิกามันปลุก หากไม่ลุกมันจะดังไม่หยุด จนเสียประสาทเสียอารมณ์ซุกผ้านวมที่อุ่นแสนสบาย

เวลาและนาฬิกาเข้ามามีอิทธิพลกำหนดกิจวัตรและวิถีชีวิตทุกเมื่อเชื่อวัน มาช่วยเป็นเครื่องมือบีบบังคับให้ชีวิตคนต้องจำยอม รถเมล์รถไฟที่นี่ช่างมาตรงตามเวลาเป๊ะๆ บางวันชีวิตจึงรันทดและบัดซบนัก วิ่งหน้าตั้งไปถึงป้ายรถเมล์สถานีรถไฟช้าแค่เสี้ยววินาทีเดียว พวกรถเหล็กที่(คนขับ)ไร้วิญญาณกรุณาปรานีมันก็เคลื่อนผ่านเราไป...อย่างเย็นชายิ่งกว่าอากาศ

ตลาดหุ้นเขาเปิดแต่เช้า ปิดกี่โมง (ไม่รู้มัน) โมงยามในการซื้อขายหุ้น ทุกวินาทีมีพลิกผันจากเงินล้านอาจกลายเป็นเงินปิ๋ว เวลาเร่งลุ้นให้ต้องรีบเร่ง เพราะเวลาสามารถบันดาลเงินเป็นเงิน และทองเป็นทอง ใครที่ชอบนอนกินบ้านกินเมืองกินฟูกจนน้ำลายเปื้อนหมอน ไม่รีบตื่นไปรีบเร่งรีบรุด วิ่งฉุดกระชากลากวิญญาณแข่งกับเวลา ... คงสูญเวลาเงินเวลาทอง เพราะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ลองดีผัดผ่อนต่อรองกับเวลา

บางครั้งชีวิตก็อยากหยุดพัก เลิกดูเวลาหันมาดูตะวัน เช้าตรู่แห่งวันใหม่นาฬิกากรีดปลุกแสบแก้วหูมาแล้ว แต่ฟ้ายังมืดนัก พยายามเพ่งมองโลกที่เคยวางอยู่หน้าบ้าน แต่มองไม่ทะลุเห็นอะไร เพราะหมอกไอหนาวลงจัด ปุยสำลีคลี่สยายปกคลุมเหมือนเดินหลงอยู่ในโลกแห่งความฝัน (ก็คนยังไม่อยากตื่นอยู่แล้วน่ะสิ)

มีบ้างบางวันไม่อยากตื่นไม่อยากลุก ไม่อยากถูกปลุกแบบไม่เต็มใจ เพราะนอนดึกเป็นนิสัย แต่ลูกๆ ต้องไปโรงเรียนตามเวลา แล้วแม่จะเอาแต่นอนเป็นเงินทองไม่รู้หนาวรู้ร้อน...ก็ไม่ได้ ยิ่งเจ้าตุ่นเด็กตื่นไว ตื่นแล้วไม่ขึ้นมาขย่มปลุกเหมือนวันเก่า แต่เริ่มย่องลงมาข้างล่างเงียบเฉียบ เพื่อคว้ารีโมท เปิดทีวี ดูการ์ตูนยามเช้าสำราญใจ

ขออภัยเถอะนะ...ลูกยา คืนนี้แม่กับพ่อนัดแนะแอบล็อคราวกันบันไดชั้นสอง เมื่อเจ้าตื่นนอน โปรดย่องขึ้นไปปลุกพ่อและแม่ที่ชั้นบนแทนละกัน

เศรษฐศาสตร์แห่งเวลาแม่ไม่ค่อยรู้เรื่องนัก แต่ยุทธศาสตร์แห่งการนอน...แม่(ยัง)พอตามลูกทัน ไม่งั้นจะเกิดมาเป็นแม่เจ้าได้อย่างไร : )