Sunday, November 27, 2005

เมื่อ Monkie มาค้างคืน



กิจกรรมการบ้านแบบผลัดเปลี่ยนเวียนกันของห้องลิงที่ตุ่นเรียนอยู่นั้น บางทีก็มีให้เด็กๆ หอบกล่องบันทึกงานอ่านหนังสือเล่มที่ตัวเองชอบที่บ้าน แล้วเขียนรายงานความสนุกของหนังสือกลับไปให้เพื่อนๆ ในชั้นเรียนได้ร่วมรับรู้ พ่อและแม่ (ส่วนใหญ่จะเป็นแม่เอง)ต้องมีส่วนช่วยลูกๆ ในการทำกิจกรรมที่ได้มอบหมายจากโรงเรียนไปด้วยเสมอ

คราวนี้เจ้าตุ่นได้น้องลิงประจำห้องที่ชื่อ "ม๊องกี้" กลับมานอนค้างที่บ้านช่วงวันหยุดยาวศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ทำกิจกรรมอะไรกัน ก็ต้องเอาเจ้า "ม๊องกี้" ไปด้วย คืนวันอาทิตย์ฉันเลยต้องนั่งเขียนรายงานลงสมุดบันทึกว่า เจ้าตุ่นกับเจ้า "ม๊องกี้" เขาไปทำอะไรกันมาบ้าง ฉันนั่งเขียนรายงานต้นฉบับเป็นภาษาท้องถิ่น หลังจากที่ตุ่นนั่งวาดรูปบันทึกสิ่งที่ตัวเองทำกับม๊องกี้ไปเสร็จแล้ว (ตุ่นยังเขียนบรรยายเองไม่ได้ เลยอาศัยวาดรูปแทนไป)รายงานกิจกรรมของตุ่นกับม๊องกี้ 3 คืน 2 วันแปลเป็นไทยได้เรื่องราวตามนี้

Vrijdag 25 november ging Monkie met Matchima logeren. Matchima heeft voor Monkie heel goed gezorgd. Zij gaf een banaan voor Monkie bij de diner. Annakha (zusje van Matchima) is echt op Monkie verliefd. Maar helaas wilde Matchima Monkie niet bij Annakha slapen. Monkie sliep naast Matchima in de stapelbed.

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน ครูอนุญาตให้ม๊องกี้จะมาพักค้างที่บ้านเรา 3 คืน เจ้าตุ่นเฝ้าดูแลม๊องกี้อย่างดีมาก เธอให้กล้วยม๊องกี้กินตอนอาหารเย็น ตะกร้า(น้องสาวคนเล็กของตุ่น)ชอบเจ้าม๊องกี้สุดๆ อุ้มอยู่ตลอดเวลาและอยากเอาไปนอนด้วย แต่เจ้าตุ่นไม่ยอมให้ม๊องกี้ไปนอนกับตะกร้า เธออุ้มม๊องกี้ไปนอนข้างๆ เธอบนเตียงชั้นบน

Zaterdag moest Matchima naar de balletles.Monkie bleef thuis en wachte tot Matchima weer thuis. Winter is al begonnen, viel de sneeuw overal in Nederland. Matchima wilde met Monkie naar buiten te spelen (sneeuwbal gooien),maar het was een beetje nat. Mama zei "het is beter binnen blijven en tekening maken voor Sinterklaas". Zaterdagavond hebben Matchima en Monkiesamen schoenen gezetten.Ze hebben ook opblijven avond, keken ze "de Sneeuwwitje" film.

เช้าวันเสาร์เจ้าตุ่นต้องไปเรียนบัลเลย์ ม๊องกี้เลยต้องรออย่างหงอยเหงาอยู่ที่บ้านจนกว่าเจ้าตุ่นจะเลิกเรียนกลับมา ฤดูหนาวเริ่มต้นแล้ว หิมะตกด้วยทั่วแดนกังหันเลยนะวันนี้ เจ้าตุ่นอยากออกไปเล่น(ปา)หิมะกับม๊องกี้ แต่แม่ห้ามไว้ว่าหิมะมันเปียกๆ ไม่ใช่หิมะแห้ง เจ้าตุ่นเลยกระซิบบอกม๊องกี้ว่า "ไม่เป็นไร งั้นเราเล่นกันอยู่ในบ้านก็ได้ นั่งวาดรูปให้ซินเตอร์คลาสกันดีกว่า" ค่ำวันเสาร์ม๊องกี้กับเจ้าตุ่นช่วยกันจัดวางรองเท้าพร้อมรูปวาด แครอทและน้ำให้ลุงซินเตอร์คลาส จากนั้นก็มานั่งดูดีวีดีเรื่อง "สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด" เพราะคืนวันเสาร์พ่อกับแม่อนุญาตให้นอนดึกได้ 1 คืนต่อสัปดาห์

Zondag gingen Matchima en Monkis meteen naar beneden.Ze waren zo benieuwd wat in schoenje zat. Wow!! Sinterklaas is bij Matchima's huis geweest. Monkie Matchima Samanja en Annakha (2 kleine zusjes van Matchima) hebben allemaal snoepjes gekreken. Het was koud en slecht weer buiten. Matchima heeft een tent binnenhuis gemaakt.Ze hebben heel lang in de tent samen gespeeld. Bij diner aten ze Thais.

Heel lekker Hoor!!!

เช้าวันอาทิตย์ ม๊องกี้กับเจ้าตุ่นตื่นกันแต่เช้ารีบย่องลงมาข้างล่าง เพื่อดูรองเท้าที่วางไว้หน้าเตาผิงไฟเมื่อคืนวาน ทั้งคู่ตื่นเต้นกันมาก ว้าว!!! ซินเตอร์คลาสผ่านมาบ้านเราเมื่อคืน ดูสิ...ทั้งม๊องกี้ ตุ่น ตะหลิว และตะกร้าต่างก็ได้ขนมใส่ไว้ในรองเท้า วันนี้หิมะเปียกๆยังตกต่อไป เจ้าตุ่นกับม๊องกี้เลยออกไปเล่นข้างนอกไม่ได้อีกตามเคย ทั้งคู่เลยมามุดเล่นอยู่ในเต็นท์ปิกนิคที่กางอยู่ในบ้านกันทั้งวัน ตกค่ำพวกเรากินอาหารไทยที่แม่ทำด้วยกัน

ขอบอกว่า แม่ตุ่นทำกับข้าวอร่อยมากๆ ค่ะ

Sunday, November 20, 2005

ความหมายแห่งการ "ให้" ในวันหนึ่ง

การ์ดของขวัญฝีมือลูกๆ เนื่องในวันที่ไม่สำคัญมากของ "แม่


เบื้องหลัง



เบื้องหน้า



เบื้องไทย


เบื้องตะหลิว




การ์ดอวยพรจากครอบครัวโนลลี่ - เพื่อนเบื้องบ้านตรงข้าม ที่อุตส่าห์เปิดไกด์บุ๊คคัดตัวอักษรไทยเขียนอวยพรมาจากใจหย่อนมาให้ แม้ขีดสระอีจะสั้นไปนิด ดอ.เด็กหัวหันผิดทาง จาก "ยินดี" กลายเป็น "ยินคิ"

ฉันเป็นคนไม่ค่อยเห็นความสำคัญในวันของตัวเองเท่าไหร่ แต่ปีนี้หมายเหตุแห่งการให้จากผู้คนรายรอบเล็กๆ ทำให้ความหมายจาก "การให้" สู่ "การรับ" ดูอบอุ่นและมีค่ามากกว่าที่คาดคิด

โดยเฉพาะเสียงกริ่งโทรศัพท์ทางไกลจากเมืองไทยตอนเจ็ดโมงเช้า-วันอาทิตย์ของเพื่อนรักผู้ตั้งใจโทรมาอวยพรเสียงสดๆ แต่เกิดนับชั่วโมงพลาดไป 1 ชั่วโมง นึกว่าที่นี่แปดโมงไปแล้ว รวมถึงห่อของขวัญเนื้อในคือหนังสือเล่มหนาที่ผู้ชายในบ้านแอบหมกมอบไว้ในตะกร้าผ้าที่ต้องเอาไปตาก - ความโรแมนติกแบบลูกทุ่งของมิตรภาพและความรัก ทำเอามนุษย์ที่เกิดมาแล้วก็แล้วกันอย่างฉันดันรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจขึ้นมา...ได้เหมือนกัน

Wednesday, November 16, 2005

เพื่อนพิศวงในโลกของสองตอ.



ฉันชอบหว่านจินตนาการให้สามตอ. ด้วยการอ่านหนังสือก่อนนอนให้ฟังเกือบทุกค่ำคืน ตัวเองเลยพลอยโชคดีได้มีโอกาสอ่านหนังสือเด็กใหม่ๆ ที่มีออกมามากมายตามอ่านกันไม่หวาดไม่ไหวกับลูกอย่างรื่นรมย์ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าสองตอแรกเริ่มท่องตามเรื่องที่อ่านมาไม่รู้กี่รอบได้อย่างขึ้นใจ (ทั้งหนังสือไทยและนานาชาติ)มันก็ยิ่งมีความสนุกที่จะค้นหาหนังสือสนุกเล่มใหม่ๆ มาอ่านให้ท่องจำขึ้นใจมากยิ่งขึ้นไปไม่จบสิ้น

ราวครึ่งปีมาแล้ว เราไปค้นพบเรื่องชุด Charlie and Lola จากห้องสมุด ฉบับต้นตำรับเรื่องชุดนี้เขียนด้วยภาษาอังกฤษ แต่เรายืมในภาคภาษาดัทช์มาอ่านกัน ตัวละครคนพี่ที่ชื่อ "ชาร์ลี" ได้ถูกเปลี่ยนเป็นชื่อดัทช์ว่า Karel(คาเรล)ซีรี่ส์ชุดนี้มีเนื้อหาที่อ่านออกเสียงแล้วสนุกมาก ภาพประกอบมีเอกลักษณ์ลายเส้นเรียบง่ายแต่โดดเด่น ตัวเอกของเรื่องชื่อ โลล่า (ตัวแสบ)เป็นน้องสาวของชาร์ลี (หรือคาเรล)ในบางวันที่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน ชาร์ลีจำต้องมีหน้าที่ดูแลเจ้าโลล่าตัวแสบ ทำให้เกิดเรื่องราวเวียนหัวสนุกสนานออกมาเป็นซีรี่ส์

ในช่วงวัย "จำไม" โลล่าช่างสารพัดจำนรรจาอันเต็มไปด้วยคำถามและเหตุผลในการที่จะไม่กิน ไม่นอน ไม่(อยาก)ไปโรงเรียน ชาร์ลีจึงจำต้องคิดหนักในการจัดการเลี้ยงน้องสาวตัวแสบ และในความไม่ย่นย่อต่อ "ความจุ้น" ของโลล่านี้เอง ทำให้ชาร์ลีเธอมีลูกหลอกลูกล่อมาสู้รบกับคำถามและเหตุผล "จำไม" ของเจ้าโลล่า (ตัวแสบ)จนสำเร็จจนได้ทุกคราไป

เมื่อไม่นานนี้ฉันเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน ก็เผอิญได้ยินข่าวดีแว่วมาจากโฆษณารายการการ์ตูนเด็กจากช่องบีบีซีว่าซี่รี่ส์ "ชาร์ลี แอนด์ โลล่า" ได้ถูกสร้างเป็นการ์ตูนออกฉายให้แฟนเด็กได้ชมเจ้าโลล่าตัวแสบโลดแล่นอยู่บนจอจริงๆแล้ว เสียดายที่บ้านเรารับช่อง Cbeebie โดยตรงไม่ได้ เราเลยยังไม่มีโอกาสได้ดูซี่รี่ส์ "ชาร์ลี แอนด์ โลล่า" แสนโปรดเรื่องนี้ อาศัยเข้าไปชมตัวอย่างการ์ตูนบางตอนและเล่นเกมวาดรูปที่เว็บของ Charlie and Lola ไปพลางๆ

สามตอ.ชอบเรื่องของชาร์ลีและโลล่าเกือบทุกตอน เพราะเนื้อหากำลังเข้ากับวัย โดยเฉพาะตอนที่โลล่าไม่อยากไปโรงเรียน โดยอ้างว่าจะต้องเอาเพื่อนพิศวงที่ไม่เคยมีใครมองเห็นตัวตนนอกจากโลล่าชื่อ บิลลี่ โบรสท์ทัล (บิลลี่ แปรงสีฟัน)ไปโรงเรียนด้วย ทำให้เจ้าสองตอ.ตัวโต ริอยากมีเพื่อนพิศวงกันบ้าง หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตุ่นก็ทำการประดิษฐ์เพื่อนพิศวงชื่อ "นีนาน" และเจ้าตะหลิวผลิต "อารียา" เพื่อนพิศวงคนใหม่ตามมา เวลาเจ้าสองตอ.เล่นกันจุ๊กจิ๊กตามมุมบ้าน ฉันจึงมักจะได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของเจ้าสองตอ. พูดกับเพื่อนพิศวง นีนานอย่างงั้น อารียาอย่างนี้ ...จนบางทีเผลอตัวคิดว่ามีเด็ก 5 คนอยู่ในบ้านไปซะแล้วนี่

ตัวอย่างหนังสือชุด charlie and Lola ภาคภาษาดัทช์ที่สามตอ.ถูกฉันอ่านให้ฟังจนท่องจำได้ขึ้นใจ มีอยู่ 3 เล่มฮิต... ดังนี้


"I Am Too Absolutely Small for School"*



"I Will Never Not Ever Eat a Tomato"*



"I Am Not Sleepy and I Will Not Go to Bed"*


สนใจในความแสบที่แสนน่ารักของโลล่าและคณะท่าน ลองคลิกเข้าไปอ่านเรื่องเจ้าหล่อนได้ที่ เว็บ Charlie and Lola ระวัง...จะหลงรัก "ตัวแสบโลล่า" เหมือนบ้านเราล่ะ ; )

* ชื่อหนังสือในภาคภาษาอังกฤษ

Saturday, November 12, 2005

เมื่อซินเตอร์คลาสมาเยือน



ซินเตอร์คลาส (ซานต้า คลอส)เดินทางโดยเรือจากสเปนมาขึ้นฝั่งแผ่นดินกังหันอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ เด็กทั่วทั้งประเทศแถบนี้เลยพากันไปชุมนุมยืนออรอเจอลุงซินเตอร์คลาสกัน เจ้าสามตอ.ที่บ้านเพิ่งไปทักทายจับมือกับลุงซินเตอร์คลาสตัวเป็นๆ ปีนี้ปีแรก

ตำนานเรื่องซินเตอร์คลาสของแถบนี้ ไม่ค่อยเหมือนตำนานลุงซานต้าคลอสฝั่งอเมริกาเท่าไหร่ (*เคยเขียนบทความสั้นๆ เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องเทศกาลนี้ไว้ ถ้าไม่ลืมจะเอามาใส่เติมไว้บนบล็อกวันหลัง)แต่ไม่ว่าจะเป็นลุงซินเตอร์หรือซานต้าที่ไว้หนวดขาวเหมือนกัน ท่านล้วนมาเยือนพร้อมกับของขวัญมากมาย ฉะนั้นไม่ว่าตำนานจะผิดเพี้ยนกันไปแค่ไหน เด็กทั่วโลกก็ต่างมิวายหลงรักตื่นเต้นกรี๊ดกร๊าดไม่แพ้กัน


ก่อนอาหารเย็นวันนี้ตุ่นขะมักเขม่นทำงานก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จาอยู่บนโต๊ะกินข้าว เหตุที่ว่าก่อนจะได้ของขวัญ เด็กๆต้องทำการบ้านเพื่อเอาใจคุณลุงซินฯเขาสักหน่อย ตามธรรมเนียมแถบนี้คือการวาดรูปแต่งกลอนให้ลุงซินฯ โดยจะนำผลงานไปวางรวมกับอาหารและน้ำที่จะให้อาชา-ม้าขาวที่คุณลุงซินเตอร์คลาสใช้ขี่เป็นพาหนะมาย่ำหลังคาบ้าน โดยมีเจ้าพีทตัวดำ-สมุนของท่านซินฯ จะทำหน้าที่ลงมาหย่อนขนมและของขวัญให้เด็กๆ เป็นรางวัลผลงาน (ตามความเชื่อหลอกเด็กๆน่ะ)


ตอนนั่งวาดรูปแรกๆ ตุ่นเธอบ่นๆว่ามันวาดยากจังเลย เพราะเธออยากวาดรูปซินเตอร์คลาสยืนเด่นเป็นสง่ามาบนเรือพร้อมเจ้าพีทตัวดำ "วาดยังไงล่ะ...แม่?" เธอร้องถามด้วยเสียงท้อแท้ ฉันเลยไปหยิบสมุดหัดวาดเขียนซินเตอร์คลาสมาวางให้เธอดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นตุ่นเลยเงียบสนิท ก้มหน้างุดๆ ไม่มีเงยอยู่ราวครึ่งชั่วโมง


ตุ่นปลุกปล้ำกับสีสันจนสำเร็จสวยงามถูกใจ จึงเดินเอาผลงานออกมาโชว์หน้าบานยิ้มแฉ่ง บอกให้ฉันช่วยถ่ายรูปให้หน่อย


ก่อนเข้านอน สามตอ.นำทีมโดยเจ้าตุ่น(ผู้ชักรู้มาก)จัดแจงนำสำรับอาหารมาวางให้สมุนพีทตัวดำและอาชาท่านซินฯ ด้วยการวางรองเท้าที่ใส่แครอท ขนมปัง แก้วน้ำเปล่า พร้อมรูปวาดม้วนผูกโบว์สวยงามไว้ที่หน้าเตาผิงไฟ พร้อมทั้งประสานเสียงร้องเพลงซินเตอร์คลาสอย่างชื่นบาน (ต้องร้องเสียงดังๆ ด้วยนะ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ทะลุก้องดังขึ้นไปบนปล่องไฟ)ตามธรรมเนียมการวางรองเท้า เด็กๆสามารถวางกันไปได้เรื่อยๆ แล้วแต่ขยันวาดรูปเขียนกลอนเอาใจท่านลุงซินฯมากน้อยแค่ไหน ถ้าลุงซินฯ ท่านขี่ม้าตรวจกาลยามดึกมาเจอของกำนัลที่เป็นรูปวาดของเด็กๆ ก็จะจัดส่งเจ้าพีทตัวดำลงมาหย่อนคุกกี้หรือชอกโกแลตตอบแทนเป็นรางวัล ก่อนที่จะหอบเอารูปวาดกลับไป จนกระทั่งเช้าวันที่ 5 ธันวาคม...เด็กๆจึงจะได้รับผลรางวัลเป็นของขวัญที่เขียนอวยพรขอท่านลุงซินเตอร์คลาสเอาไว้

ฉันไม่ได้เห็นชอบกับการล่อเด็กด้วยของขวัญในเทศกาลซินเตอร์คลาสนี้มากนัก แต่ฉันชอบใจในการละเล่นกับจินตนาการที่เด็กควรจะมี เลยประนีประนอมฉลองเทศกาลซินเตอร์คลาสกับลูกๆ ด้วยความสุขสนุกสนาน โดยเน้นประเด็นการทำงานเพื่อได้รับผลตอบแทน

บางทีชีวิตก็ต้องการรางวัล แค่ปีละครั้งปล่อยให้เด็กๆ ได้สนุกกับความฝันและความสุขบ้าง...จะเป็นไรไป


* หมายเหตุ 1...ตุ่นเธอภูมิใจกับผลงานภาพวาดของเธอมากจริงๆ หวังว่าท่านลุงซินเตอร์คลาสคงถูกใจเช่นกัน

* หมายเหตุ 2...เมื่อเช้าฟังข่าวได้ยินกฎหมายใหม่ประหลาดๆของประเทศนี้บอกว่า จะเริ่มมีการเก็บภาษีท่านซินเตอร์คลาส ฮ่ะๆ คิดได้ยังไงหนอ ท่านซินเตอร์คลาสทั้งหลายที่ปลอมหนวดขี่ม้ามานี้ ล้วนเป็นอาสาสมัครเต็มใจนำความสุขมาเยือนสู่เด็กๆ กันทั้งนั้น สงสัยรัฐบาลชุดนี้ท่าจะตีบตันวิธีการรีดไถเงินประชาชนเพิ่ม เลยมาสวมรอยสูบเอากับเทศกาลความสุขของเด็ก โถๆ...หรืออิจฉาว่าซินเตอร์คลาสจะร่ำรวยความรักจากเด็กๆมากนักหรือไง ...เพี้ยนจริงๆ รัฐบวมคณะนี้!

Friday, November 11, 2005

แม่แอบมองภาพที่ลูกวาดไว้


นางเงือก


ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ตะหลิวเธอมีพัฒนาการในการวาดรูปเป็นตัวเป็นตนเป็นเรื่องราวมากขึ้น รูปวาดบางรูปทำเอาฉันอึ้งที่เธอสามารถถ่ายทอดความนึกคิดออกมาเป็นรูปภาพได้ขนาดนี้ ...อายุยังไม่เต็ม 4 ขวบดี เมื่อเทียบกับสมัยตุ่น - ไปเข้าโรงเรียนแล้วนั่นแหละ เธอถึงวาดรูปแบบมีเรื่องราว

รูปนางเงือกข้างบนนี้...เป็นรูปวาดรูปแรกของตะหลิวที่ฉัน "ทึ่ง" จนต้องเก็บเข้าแฟ้มประวัติบุคคลเอาไว้ให้เธอดูตอนโต

หลังจากวาดรูปแรกออกมาเป็นเรื่องราว เธอก็ตะลุยวาดออกมาอีกมากมาย วาดทุกวัน วาดไม่เลือกกระดาษ บ้างก็เป็นแค่เศษกระดาษยับยู่ยี่ ฉันก็ตามเก็บเศษกระดาษที่เธอวาดตุ๊กตุ่นตุ๊กตามาเข้าแฟ้มเก็บให้เธอไว้มากมาย เผื่อจะเอาไปจัดนิทรรศการวันแต่งงานของเธอ - ฮ่าๆ

มาชมแกเลอรี่ตะหลิวน้อย-กลอยพู่กันและปากกากันหน่อยไหมจ๊ะ?











รูปสุดท้ายนี้ เธอเพิ่งวาดวันนี้ตอนกินอาหารเช้า ฉันถามว่า จะตั้งชื่อรูปว่าอะไร? ตะหลิวตอบว่า "เด็กหญิงหนอน...เห็นไหมตัวมันเป็นปล้องๆ และมีหลายขา"

Thursday, November 10, 2005

บท"บาด"ของเด็ก



ตอนเย็นเกือบได้เวลาทำอาหารมีเสียงกริ่งหน้าบ้าน สามตอ. เลยวิ่งกรูออกไปดู พอเปิดประตูหราก็เจอหน้าพี่เดิร์ก - หนุ่มเพื่อนบ้านติดกันมายื่นซองกฐิน เอ้ย ซองสแตมป์ที่สั่งไว้เมื่อเดือนก่อนให้ ทุกปีไปฉันเป็นอันต้อง "เสร็จ" พี่เดิร์กหนุ่มน้อยเพื่อนบ้านตีนไวในการล่าขายสแตมป์เด็กก่อนใครเขาเพื่อน

สแตมป์เด็ก หรือ kinderpostzegel ในภาษาดัทช์นั้นเป็นกิจกรรมที่จัดตั้งขึ้นมาเป็นรูปแบบองค์กรการกุศลเพื่อจัดทำสแตมป์ปลายปีออกมาให้เด็กๆ ตามโรงเรียนเอามาเดินเร่ขายเพื่อหารายได้เข้ากองทุนเด็กช่วยเด็ก เมื่อเด็กๆ ได้รับมอบหมายให้ออกเร่ขายสแตมป์ พี่เดิร์กเธอจะรีบบึ่งเดินทั่วถนนเพื่อนบ้าน ไม่ยอมกินข้าวกลางวัน เพราะถ้าออกเดินช้า ก็เกรงเด็กคนอื่นจะมาตัดหน้าขายไปเสียก่อน ...แฮ่มๆ หนุ่มเดิร์กเขามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังมาก (ฉันแอบได้รู้ความจริงจากมักด้า - แม่ของเดิร์กนั่นเอง)



สแตมป์เด็ก-ส่วนใหญ่จะออกแบบลายการ์ตูนน่ารักเป็นคอนเส็ปท์พิเศษ ปีนี้สแตมป์เป็นลายกระต่ายไนนท์เญอะ (Nijntje) หรือ "กระต่ายมิฟฟี่" ที่ทั่วโลกรู้จัก ปีนี้เป็นปีพิเศษของตัวการ์ตูน Nijntje เพราะอายุครบ 50 ปี เธอเลยได้รับเกียรติมาเป็นนางแบบสวยให้กับ "สแตมป์เด็ก" ...ตัวการ์ตูน Nijntje นี้เป็นอีกหนึ่งในตัวการ์ตูนเด็กที่มีชื่อเสียงของแดนกังหัน เขียนโดยนักเขียนหนังสือเด็กชาวดัทช์ชื่อ Dick Bruna...เจ้าตะกร้ากำลังติดกระต่ายตัวนี้มากๆ ทั้งหนังสือและการ์ตูนทางทีวี

กลับมาต่อกันที่เรื่องของสแตมป์เด็ก - ซึ่งเป็นสแตมป์ที่เอามาใช้แปะส่งจดหมายได้ทั่วไปนั่นแหละ แต่มันจะราคาแพงกว่าสแตมป์ที่ขายปกติ เพราะนี่เป็นสแตมป์การกุศล จากที่ราคาสแตมป์ธรรมดาดวงละ 39 เซ็นต์ใช้ส่งจดหมายในประเทศทั่วไป สแตมป์เด็กทุกๆดวงจะเพิ่มราคาอีกดวงละ 19 เซ็นต์ (บนสแตมป์ทุกดวงจึงแปะบอกราคาไว้ว่า 39+19 เซ็นต์) โดยราคาที่เพิ่มขึ้นนี่แหละจะกลายเป็นรายได้เอาไปเข้ากองทุนช่วยเหลือกิจกรรมเกี่ยวกับเด็กอีกมากมาย

กิจกรรมการกุศลของเด็กๆ ที่นี่มีมากมายจริงๆ (เอาไว้ไม่ลืม ค่อยมาเล่าต่อไป) มีทั้งกิจกรรมที่สอนให้เด็กรู้จักโลก รู้จักแก้ปัญหาร่วมด้วยช่วยกัน สอนให้เด็กมีบทบาทในการช่วยเหลือสังคม อย่างในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างแดนกังหัน อย่านึกว่าปัญหาเด็กจะน้อยกว่าที่อื่น

เชื่อหรือไม่เชื่อ ก็อยากจะเล่าไว้ตรงนี้ว่าเพิ่งมีรายงานข่าวออกมาเมื่อ 2 วันก่อน กลุ่มครูรวมตัวกันเรียกร้องถึงคณะรัฐมนตรีพี่ดัทช์ให้เสนอมาตรการช่วยเหลืออย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องพ่อแม่ทำร้ายเด็ก เพราะแต่ละปีสถิติการทำร้าย "ลูกในไส้" ของบุพการีมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น สถิติปีที่ผ่านมาจำนวนเด็กในแดนกังหันที่ถูกพ่อแม่ทำร้ายมีมากถึงห้าหมื่นคน และทำร้ายจนถึงขั้นเสียชีวิตถึง 50 คน!

ในสังคมตะวันตกที่ฉาบเคลือบไว้ด้วยความศิวิไลซ์ผาสุก ใครจะไปรู้ได้ว่ามันมีความโหดร้ายรุนแรงแอบแฝงปกปิดไว้เงียบเชียบอยู่ในครัวเรือนเช่นนี้ ปัจจุบันมีเด็กมากมายมีตัวตนที่บ้านกับที่โรงเรียนคนละแบบ...มีเด็กมากมายที่ชอบใช้มีดกรีดทำร้ายตัวเอง เพราะมีปํญหากดดันด้านจิตใจอย่างรุนแรง



เมื่อสังคมส่งเสริม "บทบาท" ที่ดีให้เด็กด้านหนึ่งแล้ว ฉันก็เห็นด้วยที่พวกเขาจะช่วยดูแล "บทบาด" ของเด็กอีกกลุ่มให้ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน ใครมีลูกมีหลาน ช่วยดูแลลูกหลานด้วยความเข้าใจให้เวลากับเขาเยอะๆ อย่าให้เด็กต้องมีบาดแผลใจเติบโตมาพิกลพิการเลย ทุกวันนี้สังคมก็พิการมากพออยู่แล้ว ช่วยกันคนละไม้คนละมือสร้าง "สิ่งแวดล้อมคน" ให้ดูแล "สิงแวดล้อมโลก" ไปนานๆ เถิด

สาธุ ... ไม่ได้ตั้งใจเขียนบล็อกซีเรียสเลย ประเด็นมันพาไปแท้ๆ เชียว

Wednesday, November 09, 2005

เด็กลองหมวก


ตะหลิวลองสวมหมวกถัก ฉันเริ่มหัดถักหมวกเล่น
ดูไม้มันเยอะตีพันกันน่างงเต็ก-แต่สนุกดี
สมัยก่อนฉันไม่เคยนึกชอบงานฝีมือ กลัวมันจะกลายเป็นงานฝีตีน
ด้วยว่าหน้าตาท่าทางไม่ให้ แถมเวลาและอารมณ์ก็ไม่ค่อยมี
ริหลงว่าตัวเองทำงานกับความคิด มันยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าเยอะ...ชะช้าๆ
เดี๋ยวนี้หยุดพักการคิดเรื่องใหญ่ที่หนักหัวใจและสมอง
เลยเริ่มลองขยับทำอะไรที่เห็นผลมีประโยชน์จับต้องสัมผัสได้
ทำให้เรียนรู้ว่า การลงมือทำบางทีดีกว่านั่งคุยกับความคิดไปวันๆ

คงจริงแท้อย่างที่ท่านปู่ Ralph Waldo Emerson แสนรักของฉันเคยเขียนเอาไว้
For every thing you have missed
you have gained something else
and for every thing you gain
you lose some thing.

ฉันค่อยๆ ลืมเลือนสติปัญญาและความคิดในวันเก่า
วันนี้ฉันหมกมุ่นแต่การถักหมวกใบใหม่ให้ลูกเท่านั้นเอง

Monday, November 07, 2005

แสงเทียนในวันที่โลกหม่น



ฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าฤดูหนาว วันกำลังมืดไว ช่วงต่อฤดูกาลเช่นนี้ ฉันเลยชอบจุดเทียนไขให้มุมบ้านมีแสงที่อบอุ่น ตุ่นกับตะหลิวชอบชวนไปเดินเก็บลูกเชสนัทกับใบเมเปิลที่ร่วงๆในวันที่อากาศดี เราเลยรวบรวมสีสันและผลพรรณแห่งฤดูมาจัด "อ่างแสงเทียน" กัน

พอแสงแห่งวันใกล้จะหมด บ้านเราก็จุดไฟเทียนขึ้นมาวอมแวมเพื่อให้อย่างน้อยเกิดความอบอุ่นใจภายในบ้านกับวันที่เริ่มหนาวเย็น มันเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าในความหนาวแต่ยังมีเรื่องร้อนรุ่มให้กลุ้มใจบ่อยๆ โลกเราทุกวันนี้หาความอบอุ่นใจให้หัวใจได้รื่นรมย์เล็กๆ...ยากเต็มที

อ่านข่าวดูข่าวแต่ละวัน มีแต่เรื่องไม่น่าสบายใจ ข่าวว่า...เมืองไทยมีคุกลับของซีไอเอ / ข่าวว่า...ไข้หวัดนกอาจจะระบาดหนักเหมือนไข้สเปนเมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วคนก็อาจจะตายกันอีกหลายล้าน /ข่าวว่า...อีก 30 ปีน้ำมันดิบจะหมดโลก ถ้านิ่งนอนใจไม่หาพลังงานธรรมชาติมาทดแทนอย่างไว โลกคงวิกฤติ(ยิ่งกว่าทุกวันนี้) / ข่าวว่า...น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้นทุกปี เพราะโลกมันร้อนขึ้นทุกวัน / ข่าวว่า...จราจลที่ฝรั่งเศสกำลังจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองลุกลามอย่างคาดไม่ถึง / ข่าวว่า...คนที่ปากีสถานกำลังจะแข็งตายอีกเป็นล้าน เพราะหิมะกำลังจะตกอากาศติดลบ 30 องศา คนเป็นๆจะอยู่รอดกันได้อย่างไร ต้องนอนกลางแจ้งไม่มีหลังคาบ้านแบบนั้น เงินช่วยเหลือก็น้อยน้อยเหลือเกิน คนบริจาคเงินช่วยให้สึนามิมากกว่าคนเป็นๆที่กำลังจะตาย

จุดเทียนแล้วสงบจิตที่หดหู่ภาวนาขอให้โลกดีขึ้นกว่าเมื่อวานนี้กันเถอะ...ลูกจ๋า บางวันโลกมันก็โหดร้ายจนไม่อยากรับรู้ข่าวใดๆ เหมือนกัน

Sunday, November 06, 2005

เพื่อน(ใหม่)บ้าน(เก่า)



เมื่อสองคืนก่อน นั่งจดรายการ "กันลืม" ของตัวเอง แล้วได้พบว่า ลายมือเขียนไทยยิ่งกว่าไก่เขี่ย เพราะไม่ค่อยได้เขียนไทยบ่อยนัก จะโทษอากาศว่าทำให้มือแข็งลากตวัดปากกาไม่ไปก็ไม่น่าจะใช่ แต่เขียนอะไรน้อยเกินไป ถนัดแต่มาจิ้มคีย์บอร์ดไปวันๆ

สองสาวเริ่มทำตัวเป็นสาว เมื่อวานตุ่นมารบเร้าจะซื้อลิปสติก แล้วก็มีงอแงตอนไปซื้อของ เลยต้องซื้อลิปกลอสที่มีสีชมพูให้ ลิปกลอสแบบที่ทาแล้วกันปากแตกตอนอากาศหนาวนี่ล่ะ กว่าจะล่อหลอกกันได้ เพราะเธอจะมุ่งไปที่ชั้นลิปสติกสีสดสวยของสาวๆ บางทีฉันก็ไม่รู้จะเลี้ยงลูกสาวยังไง เพราะตัวเองไม่ค่อยสนใจเรื่องความสวยงาม แต่งหน้าทาปากกับใครเขาไม่เป็น พอเจอเด็กสาวช่างแต่ง(ตามเพื่อน)เลยมีอาการ "กลุ้มจาย" แต่ก็ต้องเลือก "ให้" บ้างตามวาระและโอกาส อย่างน้อยให้อยู่ในสายตา ดีกว่าให้ลูกเก็บกด ให้ลูกลองสวยลองงามแบบเด็กหญิงบ้าง เด็กบางทีก็แค่อยากลองอยากเป็น พอได้ลองได้รู้ก็พอใจ...พูดง่ายบอกง่ายขึ้นเยอะ

บางทีการเลี้ยงลูกก็ยากตรง "ขอบเขต" ที่ว่าจะให้เขาได้แค่ไหน และถึง "เส้นกั้น" ตรงไหนที่จะต้อง "เสียงแข็ง"กันบ้าง

ฉันเพิ่งมีเพื่อนสนิทคนใหม่ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านตรงข้ามที่เห็นหน้ายิ้มให้กันเฉยๆ ไม่เคยทักทายแนะนำตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาตั้ง 5 ปี อยู่มาวันหนึ่งโนลลี่ก็เดินข้ามฝั่งมาทักทายช่วงที่เราสองต่างมุ่งทำสวนหน้าบ้านกันอยู่ แล้วหลังจากนั้นเราสองก็กลายมาเป็นเพื่อนปั่นจักรยานทุกค่ำวันอังคารไปฟิตเนสด้วยกัน โนลลี่อายุ 50 กว่าแล้ว (ฉันเดาเอา) เขามีลูกชาย 2 คนโตเป็นหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่วัย 21 กับ 24 ปี เมื่อวานนี้ลูกชายคนเล็ก พีทเตอร์กลับมาบ้าน โนลลี่เลยพาลูกชาย 2 คนมาแนะนำตัว ลูกชายคนโตที่ชื่อมิฆีล ฉันยังเห็นหน้าค่าตากันบ่อยๆ เพราะเขายังพักอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน แต่พีทเตอร์ย้ายไปอยู่หอพักที่เมืองเอนโดเฟ่น (เมืองเก่าที่ฉันเคยอยู่เมื่อย้ายมาที่นี่ปีแรกๆ...มันคือ เมืองของเครื่องไฟฟ้าฟิลิปส์))เพื่อเรียนมหาวิทยาลัย ฉันเคยแอบมองพีทเตอร์หัดเรียนขับรถเมื่อ 2 ปีก่อนทุกวันจนเขาสอบผ่าน เพราะตอนนั้นคิดว่าต้องเรียนขับรถแบบเขาเข้าสักวัน ตามประสาคนเมืองหนาวมัวแต่คุดหน้ากันอยู่แต่ในบ้าน เลยไม่เคยได้ทักกันสักที...แอบมองกันไปแอบมองกันมาอยู่แค่นี้แหละ

พีทเตอร์หอบลูกอมรสทุเรียนมาให้เขาบอกว่าลองชิมแล้วไม่อร่อย เลยเอามาให้ฉันแทน ฉันสารภาพกับเขาตรงๆว่า มันก็ไม่น่าจะอร่อยเลยน่ะนะ ฉันก็ไม่เคยลองกินลูกอมรสนี้ แต่ชอบกินทุเรียนสดมากๆ (โถ...นึกยังไงซื้อลูกอมรสทุเรียนกลิ่นแรงมาลอง-ฉันนึกขำในใจ) พีทเตอร์ยังหอบข้าวเหนียวมาด้วย ฉันรู้จากที่โนลลี่เล่าให้ฟังว่า พีทเตอร์สนใจอยากหัดหุงข้าว ครอบครัวนี้เคยไปเที่ยวเมืองไทยกันมาเมื่อ 2 ปีก่อน เลยมีความรู้สึกร่วมมีความหลังเกี่ยวกับเมืองไทย และชอบอาหารไทยมาก จึงดูมีประเด็นเวลาที่คุยอะไรกับฉัน เมื่อวานฉันเลยหัดพีทเตอร์หุงข้าวเหนียวด้วยไมรโครเวฟ เพราะมันใช้เวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้น แล้วก็เลยยืนคุยกันยาวกับหนุ่มน้อยเรื่องการทำกับข้าวไทยง่ายๆ สองหนุ่มชอบใจมากเมื่อฉันเสนอว่า เดี๋ยวพีทเตอร์กลับบ้านมาคราวหน้าจะสอนทำข้าวผัดให้ แถมมีการรับรองแบบโม้ๆ(ดูไม่น่าเชื่อถือ)ว่าฉันสอนใครก็น่าจะทำเป็นทั้งนั้น เพราะฉันทำกับข้าวได้มั่วและง่ายที่สุดแล้วล่ะ : P

สองหนุ่มหัวเราะชอบใจ บอกว่า เอาๆ ขอมาเรียนจริงๆนะ ตอนที่ครอบครัวนี้เขาแวะมา ฉันกำลังง่วนกับการทำซาลาเปา แหม...พักแป้งไว้กำลังขึ้นอืดพอดี ฉันเลยยืนคุยไปห่อซาลาเปาไปด้วย พอเกือบหกโมงเย็น โนลลี่และครอบครัวกลับบ้านไป ต่างคนต่างทำกับข้าวเย็น ฉันนึ่งซาลาเปาชุดแรกสุก เลยเดินข้ามฝั่งถนนประคองจานใส่ซาลาเปา 4 ลูกซึ่งยังอุ่นกรุ่นผ่านอากาศเย็นยามค่ำไปกดกริ่งบ้านโนลลี่ พีทเตอร์มาเปิดประตูแล้วยิ้มรับซาลาเปาไป




ฉันชอบทำกับข้าวและขนมให้คนอื่นกิน เลยชอบทำทีละเยอะ นึกถึงคนไทยตามชนบทที่คนทำแกงหม้อโตแล้วเดินแจกให้เพื่อนบ้านกินทั้งหมู่บ้าน ฉันไม่ค่อยเจอคนแถวนี้เดินเอาขนมไปให้กัน ฉันเลยดูเป็นชาวต่างชาติเด๋อๆ ที่บางทีมีการเดินย่องไปแจกขนมให้เพื่อนบ้านกิน โชคดียิ่งกว่าที่เพื่อนบ้านฉันล้วนน่ารักและเป็นมิตรเกือบทั้งถนน จนบางวันขี่จักรยานผ่านไปผ่านมา ยิ้มทักกันจนเมื่อยตีนกาเลย : )

วานนี้ปั้น-นึ่งซาลาเปาได้ 36 ลูกใหญ่จากแป้ง 1 กิโลกว่า เก็บใส่ถุงซิปล็อคเข้าช่องแข็งไว้กินเป็นอาหารเช้าได้อีก 1 เดือนเลย

Thursday, November 03, 2005

ด้วยภาระและหน้าที่



คนเราเกิดมาแล้ว ล้วนต้องมีภาระและหน้าที่ ใครที่เฉยเมยไม่ไยดีว่าภาระคืออะไร หน้าที่คืออะไร ก็เหมือนปล่อยให้ชีวิตลอยชายซังกะตายระรวยลมหายใจพ่นทิ้งบนโลกไปวันๆ

เมื่อเราเป็นเด็ก ภาระและหน้าที่มียังไม่มาก เราเลยไม่ค่อยได้ตระหนักว่า มันมีความสำคัญกับชีวิตเรามากน้อยแค่ไหน คงเป็นเพราะตอนที่เราเป็นเด็ก มีใครบางคนคอยตระหนักและแบกภาระบางอย่างไว้แทนเรา

การเติบโตตามวัยของคนเรา จึงมิใช่การวัดขนาดความสูงใหญ่และซี่ฟันที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเพียงแค่นั้น หากต้องรวมความถึงความเข้าใจในหน้าที่บางสิ่งบางอย่าง เพื่อจะได้ตระหนักถึงภาระที่พอกพูน...เป็นไป บางครั้งชีวิตภายใต้หน้าที่จึงต้องจำนนต่อกฎเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสังคมที่อยู่ร่วมกันทั้งในบ้าน ในสังคม และบนโลก

วันนี้ตะหลิวเริ่มมีหน้าที่ใหม่ - ไปโรงเรียนอย่างจริงจังเหมือนพี่สาว ภาระใหม่ของตะหลิวกำลังเริ่มต้นขึ้น และภาระนี้มันจะยืดยาวไปอีก 10-20 ปี (นานมิใช่น้อย)แม่จึงพยายามย้ำบอกกับตะหลิวให้ตระหนักว่านับจากวันนี้...ระยะทางจากบ้านถึงโรงเรียนจะไม่เหมือนชีวิตที่วิ่งเล่นอยู่ในบ้าน นับตั้งแต่ลูกเกิดมาจนเกือบครบ 4 ขวบปีรำไรอีกแล้ว ตะหลิวกำลังจะก้าวออกไปเรียนรู้โลกภายนอกที่ยิ่งใหญ่และซับซ้อนกว่าโลกใบเก่า-ทุกๆ วัน

แม่เองก็ต้องมีหน้าที่เพิ่มด้วยเช่นกัน เพราะแม่ยังคงต้องช่วยตระหนักกับลูกๆ ไปด้วยทุกอย่าง เพราะการเรียนรู้แห่งชีวิตไม่ว่า ระหว่างลูก ระหว่างแม่ ระหว่างเรา และระหว่างโลก มันคือสายสัมพันธ์แห่งธรรมชาติของมนุษย์กับโลกที่จะเชื่อมโยงร่วมกันเช่นนี้ตลอดไป

Wednesday, November 02, 2005

บทเพลงใบไม้ร่วง





Eekhoorn, eekhoorn
กระรอก กระรอกเอ๋ย
Met je lange staartje
หางเจ้ายาวนักเอย
Eekhoon, eekhoorn
กระรอก กระรอกเอ๋ย
Spring maat met een vaartje
กระโดดร่อนมาเลยอย่างว่องไว
Tikke takke tonen
ดูสิ ดูสิ ลีลาเจ้าโลดโผนสุขใจ
Roets in de bomen
ดูเหมือนเงาวูบไหวบนต้นไม้ใหญ่เอ่ย






Herfst herfst wat heb je te koop?
ฤดูใบไม้ร่วงจ๋า ฤดูใบไม้ร่วงแล้วหนา ไหนบอกสิว่าเธอมีอะไรมาเสนอ?
honderd duizend bladeren op een hoop
นี่ไงล่ะ ใบไม้หมื่นใบสุมท่วมมากมายอยู่ใต้เท้าเธอ
Zakken vol met wind
อย่าเอาแต่เผลอวิ่งไล่จับลมใส่ถุงตุงกลับไป
Ja mijn kind
สนไหม สนไหม เด็กน้อยน้อย
'K weet niet of jij dat aardig vindt.
บอกฉันหน่อย หากเธอนึกชอบใจ



In de herfst ( klap klap) 2x
ในฤดูใบไม้ร่วง ในฤดูใบไม้ร่วง
Dan laten de bomen de blaadjes los
ต้นไม้ไหวลมใบไม้สลัดขั้วปลิวว่อน
Zoeken wij kastanjes in het bos
แล้วเราก็ย่องไปมองหาลูกเชสนัทในป่ากัน
In de herfst ( klap klap) 2x
ในฤดูใบไม้ร่วง ในฤดูใบไม้ร่วง


บทเพลงแห่งฤดูกาล เด็กที่บ้านกำลังร้องประสานเสียงกัน
โดยเฉพาะท่อนนี้ ... ร้องกันตลอดบ่ายนี้เลยเชียว
มาแกะร้องตามสำเนียงไปด้วยกันไหม?

Herfst herfst wat heb je te koop?
แฮร์ฟสท์ แฮร์ฟสท์ วัท เฮ็บ เยอะ เตอ โคป?
honderd duizend bladeren op een hoop
ฮอนเดิร์ด เดาเซ่นด์ บลาเดเร่น ออป เอิน โฮป
Zakken vol met wind
ซากเกิ่น โฟล เม็ท วินด์
Ja mijn kind
ญ่า มายน์ คินด์
'K weet niet of jij dat aardig vindt.
อิก เวท นีท ออฟ เย ดาท อาร์ดึก ฟินด์ท


Tuesday, November 01, 2005

วันไหนที่ไม่วุ่น



มีวันไหนบ้างที่ชีวิตไม่วุ่นหัวหมุนเป็นลูกข่างตั้งแต่มีลูก ไม่มีเลย...ไม่มีวันไหนที่จะได้นั่งทอดหุ่ยทอดสายตาชมนกชมไม้สบายใจไร้กังวล เพราะต้องคอยกวาดตามองไปรอบด้านกว้าง 360 องศา เคยคิดเล่นๆ ว่าเอาเรดาร์มาติดไว้บนหัวคอยสอดส่องลูกให้แทนได้ ...คงจะดีไม่น้อย (อาจจะช่วยลดอาการคอเคล็ดหรือคอหลวมได้บ้างในบางวัน หรือคออาจจะหักเข้าสักวันเพราะริแบกเรดาร์)ก็เพราะเมื่อเผลอไผลไปชั่วแป๊บลืมกวาดตาสอดส่องสมุนน้อยในบ้านผู้แอบไปซุ่มเงียบ...ก็จะต้องเจออะไรที่เละเทะแถมเมื่อนั้น

วันนี้ก็วุ่นเหมือนทุกวัน แต่วุ่นกระจายออกไปนอกบ้าน หัวเลยหมุนประหลาดๆเหมือนน็อตหลุดหายไป 2 ตัว สมองหลวมๆ พิลึก สงสัยจะเคยตัวกับการหมุนอยู่ตามผนังบ้านมากเกินไป วันไหนมีอันต้องผลุบเข้าผลุบออกวิ่งโร่ไปโน่นมานี่ - เลยชักมึน (เอ...หรือว่าชักแก่...อุบส์)

เหตุเพราะครูที่โรงเรียนมาถามว่า ว่างพอไปร่วมกิจกรรมเดินป่าฤดูใบไม้ร่วงกับห้องลิงได้ไหม...วันอังคารนี้? พอดีรถยนต์อยู่บ้าน เจ้าตะหลิวไปโรงเล่น เหลือเจ้าตะกร้าติดบ้านอยู่ตัวเดียวกระเตงไปร่วมได้ เลยอาสาไปช่วยนำเด็กเดินป่า (สวนของเมืองที่อยู่หลังบ้านเรานี่เอง เดินไปโปรยขนมปังเลี้ยงเป็ดบ่อยๆ)และหอบเด็กติดรถรับ-ส่งจากโรงเรียนไปสวนได้อีก 2 คน ...เลยไปช่วยลุยคุมเด็กดูสักตั้ง (เคยคุมมาครั้งแล้วก็สนุกดี)จริงๆ หากมีเวลาและสถานการณ์เป็นใจ ฉันชอบไปร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนให้บ่อยเท่าที่จะบ่อยได้ เพราะอยากได้รับรู้พฤติกรรมตุ่นที่โรงเรียน และถือเป็นโอกาสดีที่จะได้สัมผัสการเรียนรู้มือหนึ่งจากครูและเด็กๆ

การไปเดินนำเด็ก(พร้อมสาธยายสื่อการสอนนอกห้องที่ครูแจกเป็นคู่มือมาให้)เพื่อไปพิชิตกิจกรรมตามจุดทดสอบ 8 จุด ไม่ค่อยเหนื่อยหนักเท่าไหร่ แต่เหนื่อยกับการพะวงลุ้นในใจตัวเองเรื่องการใช้เวลาว่า เด็ก 5 คนในกลุ่มที่รับผิดชอบจะอ้อยสร้อยเดินทำกิจกรรมตามจุดกินเวลามากกว่าที่คิดแค่ไหน? เพราะฉันมีภาระต้องไปรับเจ้าตะหลิวจากโรงเล่นให้ทันก่อนเที่ยง

แล้วก็จริงๆ แผนแรกที่คิดว่าจะต้อนเด็กกลับขึ้นรถไปส่งที่โรงเรียนก่อน แล้วบึ่งกลับไปรับที่ตะหลิวไม่เป็นไป เพราะเด็กๆ เดินย้ายไปย้วยมาเหมือนลูกปู (กระด้งก็ไม่ได้หยิบติดมือไป เลยจับใส่กระด้งไม่ได้)ต้องมีอันเปลี่ยนแผนย้ายเก้าอี้มาเบาะหน้า 1 อันให้เจ้าตุ่นนั่ง ยันเจอะนั่งด้านหลังเลยไม่ต้องใช้เบาะเสริม (แต่รัดเข็มขัดแน่นหนา ลูกชาวบ้านก็ต้องดูแลให้ปลอดภัยเหมือนลูกเรา) แล้วบอกครูว่าขอแวบไปรับตะหลิวก่อน แล้วจะพา 2 สหายคู่หูไปส่งที่โรงเรียนให้ทันอาหารกลางวัน เลยขับรถวนรับ-ส่งลูกตัวเองและลูกชาวบ้านไปรอบเมืองด้วยอาการร้อนรน แต่ดีว่าแผนสองเรียบร้อยดี ไม่มีเลท ...โล่งอกไป เพราะใจมันสั่นระทึกกับเข็มนาฬิกา!

อยากเล่าเรื่องกิจกรรมของเด็กๆ นอกห้องเรียน แต่คืนนี้บันทึกต่อไม่ไหวล่ะ เมื่อบ่ายคุณเธอที่บ้านเขาอยากทำคุกกี้ เลยต้องลงไปละเลงกับเธอๆ แล้วตบท้ายงานครัวต่อด้วยการเตรียมอาหารเย็นปั่นเนื้อปลามาทำทอดมัน-กว่าจะได้กิน กว่าจะล้างเก็บครัวเสร็จ ได้เวลาไปฟิตเนสพอดี กลับมาอีกที่สี่ทุ่มครึ่ง โอ้ ...เวลาหมดไปอีกวัน : (

เฮ้อ...เมื่อยตัวเมื่อยหลัง ได้เวลาไปล้มทับฟูกอ่านหนังสือสัก 15 หน้าก่อนหลับแล้วฝันถึงของกินที่เมืองไทยในอีก 5 อาทิตย์หน้าให้สาสมกับความวุ่นที่เผาผลาญพลังงานชีวิตไปอีกวัน...ดีกว่า